แน่นอนว่าหลายๆ คน คงอยากจะทดลองช่องทางการตลาดที่หลากหลาย แต่! ถ้าคุณขาดความรู้เกี่ยวกับ Platform ช่องทางการตลาดออนไลน์ต่างๆ นั่นก็อาจจะทำให้ขาดทุนเอาได้ อีกทั้งคุณต้องตรวจสอบทรัพยากรภายในองค์กรของคุณก่อนว่า พร้อมที่จะเจาะกลุ่มลูกค้าทางช่องทางใด ซึ่งถ้าได้คำตอบมาแล้ว ก็มีแนวโน้มสูงว่าช่องทางการตลาดออนไลน์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ จะช่วยขยายตลาดและขยายธุรกิจของคุณได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเราจึงได้รวบรวมช่องทางการตลาดออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดมา 5 ช่องทางดังนี้...
1. การค้นหาทั่วไป (Google)
การค้นหาทั่วไปคือ การเข้ารับชม “ฟรี” จากเว็บไซต์ที่มีเครื่องมีการค้นหาอย่าง Google ดังนั้นถ้าคุณอยากจะให้เว็บไซต์หรือตัว Product ของคุณมีประสิทธิภาพที่ผู้คนจะค้นหาเจอมากที่สุด คุณก็ต้องใช้เครื่องมือการค้นหาที่เรียกว่า SEO (การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือค้นหา) ซึ่ง SEO เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ เช่น การสร้างเนื้อหาภายในเว็บไซต์(บทความ) เป็นต้น และเนื่องจากการค้นหาทั่วไปนั้น ไม่เสียค่าใช้จ่าย (ish) จึงสามารถมี ROI ที่ดี นอกจากนี้การค้นหาทั่วไปมีสัดส่วนมากกว่า 50% ของการเข้าชมเว็บไซต์ทั้งหมด จึงไม่น่าแปลกใจถ้าคุณคิดว่าคุณจะใช้ Google ในการเจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการหาสินค้า/บริการเดียวกันกับที่คุณขาย แต่คุณอย่าลืมว่า SEO มีการแข่งขันสูง! เพราะมีผู้ประกอบการจำนวนมาก ที่ใช้เครื่องมือ SEO ในการดึงกลุ่มลูกค้าแบบเดียวกันกับคุณ อีกทั้งการ SEO จะใช้เวลานานอย่างน้อย 3 ถึง 6 เดือน กว่าที่คุณจะเห็นผลกำไรต่างๆ อย่างเป็นรูปเป็นร่าง
2. การค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย (PPC)
นอกจากการค้นหาจะมีแบบฟรีแล้ว มันก็ยังมีการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายด้วย และแน่นอนว่าประสิทธิภาพของมันย่อมดีกว่าของฟรีอยู่แล้ว เพราะเมื่อไหร่ที่ผู้คนพิมพ์ค้นหาสินค้าหรือบริการ ชื่อธุรกิจของคุณก็ขึ้นเป็นผลลัพธ์อันดับต้นๆ ในการค้นหา (ใน SEO ที่คุณจัดทำไว้) และนั่นก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจได้ง่ายมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่คุณจะต้องควักเงินจ่ายแบบคลิ๊กต่อคลิ๊ก (PPC) ยิ่งมีคนกดเข้าไปสู่เว็บไซต์ของคุณจากการค้นหามากเท่าไหร่ คุณก็จะต้องควักเงินจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเท่านั้น ซึ่งวิธีการนี้บริษัทชั้นนำทั่วโลกยอมลงทุนจ่าย เพราะพวกเขามองเห็นว่ามันคุ้มค่า คุ้มราคา ดีกว่าจะต้องไปอยู่หน้าท้ายๆ ในการแสดงผลลัพธ์สำหรับการค้นหาใน Google อีกทั้งถ้าคุณเรียนรู้วิธีใช้ Google Ads แล้ว คุณก็สามารถเปิดใช้แคมเปญการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายและดูรายละเอียดการเข้าชมได้ภายใน 15 นาที
3. Social media
Social media ที่ว่านี้ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Twitter และ Pinterest ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ เพราะช่องทางการตลาดพวกนี้จะรับหน้าที่ติดต่อกับลูกค้าได้แบบตัวต่อตัว และสามารถเจาะกลุ่มลูกค้าที่คุณต้องการได้เป็นอย่างดี อีกทั้งมันยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณได้อีกด้วย แต่ข้อเสียของมันคือ อาจจะทำให้การเข้าชมแพลตฟอร์ม Social media ไปยังเว็บไซต์ของคุณเป็นเรื่องยาก เช่น Facebook หรือ IG ของคุณมีผู้ติดตามหลักหมื่นคน แต่พวกเขาไม่เคยเข้าไปชมเว็บไซต์ของคุณเลย เพราะพวกเขาจะรับข้อมูลข่าวสารต่างๆ จากทาง Social media เท่านั้น ทำให้คุณต้องมีการวางแผนทางการตลาดที่รัดกุมมากกว่าเดิม ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้กลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าคลิ๊กไปยังเว็บไซต์ของคุณให้ได้ อีกทั้งการมี Social media ยังเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการสร้างแบรนด์ แต่คุณก็ต้องยอมรับว่ามันอาจจะไม่สามารถสร้างหรือแปลงเป็นจำนวนเงินได้ตามที่คุณต้องการเท่าไหร่นัก (ถ้าคุณทำการตลาดทางเว็บไซต์ ไม่ได้ทำในสื่อ Social media)
4. E-Mail
ธุรกิจเกือบจะทุกรูปแบบมีการตอบโต้กับลูกค้าทางอีเมลล์ไม่ว่าจะเป็นทางใดทางหนึ่ง เช่น ใบเสร็จการทำธุรกรรม การสมัครสมาชิก หรือแม้แต่การมอบโค้ดส่วนลดต่างๆ โดยการส่งอีเมลล์ถือว่าเป็นช่องทางการตลาดออนไลน์ที่แตกต่างจากช่องทางอื่น เพราะนี่คือวิธีที่จะทำให้ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายของคุณมีส่วนร่วมในพื้นที่ส่วนตัวซึ่งนั่นก็คือทางกล่องรับจดหมายของพวกเขานั่นเอง โดยข้อดีของการส่งอีเมลล์หาลูกค้าคือ มีราคาไม่แพง (หากคุณเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม) และถือว่าเป็นการตลาดที่มีความเป็นส่วนตัวสูงและสามารถวัดผลได้ว่ามีใครอ่าน ใครคลิ๊กบ้าง เนื่องจากคุณคือผู้ควบคุมช่องทางการส่งจดหมายยังไงล่ะ และถ้าหากคุณต้องการที่จะดึงดูดกลุ่มลูกค้าคุณก็สามาถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่คุณมีอีเมลล์ของลูกค้าและพวกเขายังเลือกรับอีเมลล์จากคุณ คุณก็สามารถส่งข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับสินค้า/บริการ ให้พวกเขาได้เสมอ และที่สำคัญการส่งอีเมลล์ยังสามารถแบ่งกลุ่มผู้ลูกค้าและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของอีเมลล์ได้อีกด้วย
5. การเข้าชมเว็บไซต์จากการอ้างอิง
การอ้างอิงคือการเข้าชมที่เว็บไซต์ของคุณที่มาจากเว็บไซต์อื่นๆ (ไม่ใช่ผ่านการค้นหา) ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ของคุณถูกกล่าวถึงในบทความในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นและผู้อ่านคลิ๊กลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของคุณ นั่นคือ “การเข้าชมจากการอ้างอิง” โดยช่องทางการตลาดช่องทางนี้ข้อดีของมันคือ คุณไม่ต้องไปเสียเงินเหมือนกับการซื้อโฆษณาทาง Google (PPC) แต่คุณจะต้องลงทุนซื้อความสัมพันธ์แทน (จากเว็บไซต์อื่นๆ ที่เขาจะกล่าวถึงธุรกิจหรือเว็บไซต์ของคุณ) ซึ่งช่องทางการตลาดนี้อาจจะไม่ค่อยได้รับความนิยมเหมือนกับช่องทางอื่นๆ แต่มันจะมีความน่าเชื่อถือและคุณค่ามากกว่าการค้นหาใน Google
3 วิธีเลือกช่องทางการตลาดที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณ
1. เลือกช่องทางที่คุณมีกลุ่มลูกค้าอยู่แล้ว
เพราะคุณจะได้ไม่ต้องไปเริ่มทำการตลาดออนไลน์ใหม่ทั้งหมด ประหยัดทั้งเวลาและงบในกระเป๋าของคุณ
2. พิจารณาเลือกช่องทางที่มีคู่แข่งทำอยู่แล้ว
แม้ว่าข้อนี้อาจจะดูงงๆ สักหน่อย แต่มันจะทำให้คุณนั้นสามารถวัดประสิทธิภาพของฝ่ายการตลาดว่าเจ๋งพอจะสู้กับคู่แข่งได้ไหม ? ซึ่งถ้าคุณมั่นใจในฝีมือของทีมงาน แน่นอนเลยว่าแนวโน้มที่คุณจะก้าวขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในตลาดนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย อีกทั้งวิธีนี้คือคุณจะไม่ต้องไปหากลุ่มลูกค้าให้เหนื่อยแรง เพราะคู่แข่งเขาทำการบ้านให้คุณเรียบร้อยแล้ว เขาถึงได้เลือกช่องทางการตลาดนั้นๆ นั่นเอง คุณก็มีแค่หน้าที่ทำโฆษณาหรือเจาะกลุ่มลูกค้าให้ตรงและลึกกว่าคู่แข่งก็พอ
3. เลือก 2 ช่องทางในการทำตลาดเพื่อความหลากหลาย
หากคุณเลือกทำการตลาดเพียงช่องทางเดียว คุณจะไม่รู้เลยว่ามันได้ผลหรือมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน แต่! ถ้าจะทำทุกช่องทางการตลาด ก็คงจะเหมือนเอาเงินไปละลายเล่น ดังนั้นให้คุณเลือกช่องทางการตลาดแค่ 2 ช่องทางก็พอ ทางไหนมีผลตอบรับดีก็ไปต่อ ช่องทางไหนดูท่าไม่มีดีก็เปลี่ยนไปหาช่องทางอื่นๆ แทน ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ คุณจะพบกับช่องทางการตลาดออนไลน์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณอย่างแน่นอน!